ศาลาพระแก้วมรกตและพระแก้วหยกขาวจักรกกรด

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

ศาลาพระแก้วมรกตและพระแก้วหยกขาวจักรกรด (ธรรมทานจาก สุธี ศรีพระรัตนตรัย4)

      ขออานุภาพแห่งพระแก้วหยกขาวจักรกรดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงอภิบาลรักษาทุกท่านที่ได้เยี่ยมชมเว็ปนี้ ขอให้ปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลาย และขอให้มีความสุขความเจริญตลอดกาลนานเทอญ 

ธัมมิกอุบาสก


      บุคคลควรคบแต่บัณฑิตที่ตนเห็นว่าช่วยชี้ข้อผิดพลาด เหมือนคนที่บอกขุมทรัพย์ เป็นผู้ติเพื่อก่อ มีปัญญา เพราะเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้นมีแต่ผลดีไม่มีโทษ อย่างเช่นท่านธัมมิกอุบาสกแห่งเมืองสาวัตถีที่ได้กล่าวมีไว้ในพระไตรปิฎก ธัมมิกอุบาสกนั้นเป็นผู้มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย เป็นผู้ที่ประพฤติปฎิบัติธรรมอยู่อย่างปกติวิสัย ด้วยการบริจาคทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่อย่างเนืองนิตย์ อีกทั้งแกยังสอนให้ลูกๆทุกคนประพฤติและปฎิบัติเช่นเดียวกับแกอีกด้วย เมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา อยู่มาวันหนึ่งธ้มมิกอุบาสกก็เกิดจ็บป่วยลงด้วยโรคชรา แกรู้สึกเจ็บปวดและทรมานอย่างมาก คิดว่าคราวนี้เห็นทีจะไม่รอดเป็นแน่แท้ จึงได้สั่งให้พวกลูกๆรีบไปอาราธนาพระภิกษุสงฆ์จากพระเชตวันวิหารของพระพุทธเจ้าให้มาแสดงธรรม เพื่อเป็นการประคองจิตไม่ให้กระสับกระส่าย และไม่ให้หลงทาง      ภายหลังจากที่เหล่าบรรดาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้มาถึง ณ.ที่นั้นแล้ว ก็ได้เริ่มแสดงธรรมในทันที โดยแสดงสติปัฏฐานสูตร ธัมมิกอุบาสกก็นอนหลับตาฟังอย่างสงบ พอฟังไปได้สักครู่หนึ่งจิตของแกเกิดปิติโสมนัส ชื่นบานหรรษา ทันใดนั้นก็เกิดนิมิตปรากฎเห็นภาพของเหล่าเทวดาทั้งหลายที่มาจากสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ต่างก็นำราชรถที่ตบแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ มีความยาว 150 โยชน์ พร้อมม้าสินธพ 1000 ตัว มาจอดรอรับ พร้อมกันนั้นเทวดาทั้ง 6 ชั้น ต่างก็ร้องเรียกชักชวนให้ธัมมิกอุบาสกไปเกิดในวิมานของตน ส่งเสียงดังไปทั่ว ฝ่ายธัมมิกอุบาสกกลัวว่าจะเสียสมาธิในการฟังธรรมจึงได้ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เหล่าเทวดาทั้งหลายพูด และได้พูดกับเทวดาเหล่านั้นว่า " หยุดก่อน หยุดก่อน เราไม่ต้องการฟังท่านแล้ว
        ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่กำลังแสดงธรรมอยู่นั้น เห็นธัมมิกอุบาสกยกมือขึ้นและกล่าวห้ามเช่นนั้น ก็นึกว่าธัมมิกอุบาสกห้ามไม่ให้แสดงธรรมต่อไปอีก จึงพากันหยุดแสดงธรรมแล้วลาพวกลูกๆของธัมมิกอุบาสกกลับวัดพระเชตวันไป และภายหลังจากที่เหล่าเทวดาทั้งหลายหยุดส่งเสียงดังแล้ว ธัมมิกอุบาสกก็ไม่ได้ยินเสียงของพระภิกษุสงฆ์ จึงได้เอ่ยถามพวกลูกๆว่ าพระคุณเจ้าทำไมไม่แสดงธรรมต่อไปเล่า พวกลูกๆก็ตอบว่า ก็พ่อสั่งให้หยุดมิใช่หรือ ธัมมิกอุบาสกจึงบอกไปว่าพ่อไม่บอกให้หยุด ที่พ่อบอกให้หยุดนั้นมิได้บอกให้พระหยุดหรอก พ่อบอกให้พวกเหล่าเทวดาทั้งหลายที่มาจากสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ที่ต่างนำราชรถมาจอดรอรับพ่ออยู่ให้หยุดต่างหาก เพราะว่าเทวดาแต่ละชั้นต่างก็ส่งเสียงร้องชักชวนให้พ่อไปอยู่ด้วย บอกว่าแต่ละชั้นต่างก็มีความสงบ สุขสบายเป็นที่ภิรมย์จนเสียงดังไปหมด พ่อกลัวว่าจะเสียสมาธิในการฟังธรรม จึงบอกให้พวกเทวดาทั้งหลายหยุดพูด ฝ่ายพวกลูกๆเมื่อได้ยินพ่อพูดดังนั้นต่างก็พากันร้องให้เป็นการใหญ่ และพูดกับบิดาว่า พ่อคงจะหลงเสียแล้ว ไม่เห็นมีเทวดาที่ไหนเลย ธัมมิกอุบาสกจึงบอกว่าไม่ได้หลง มีเทวดาจริงๆนะ หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็ให้ไปเอาพวงมาลัยมาให้พ่อ แล้วชี้ขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับอธิบายให้พวกลูกๆฟังว่า เทวดาที่มารอรับแต่ละชั้นนั้นอยู่ตรงไหนบ้าง พร้อมกับถามพวกลูกๆว่า พวกเจ้าอยากให้พ่อไปเกิดบนสวรรค์ชั้นไหน ทางฝ่ายพวกลูกๆทั้งหลาย ต่างก็ตอบพร้อมกันว่า อยากให้พ่อไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต เพราะเป็นสวรรค์ชั้นที่น่าอภิรมย์ อีกทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ยังบังเกิดบนสวรรค์ช้นนี้อีกด้วย ธัมมิกอุบาสกจึงบอกให้พวกลูกๆโยนพวงมาลัยขึ้นไปบนอากาศตรงตำแหน่งที่ตนเองชี้ว่าเป็นราชรถที่มาจากสวรรค์ชั้นดุสิตจอดรออยู่ เมื่อพวกลูกๆได้โยนพวงมาลัยขึ้นไปบนอากาศ พวงมาลัยก็ลอยค้างอยู่บนอากาศ ณ.ที่ตำแหน่งนั้นเป็นที่น่าประหลาดตื่นตาตื่นใจแก่พวกลูกๆทั้งหลาย ทุกคนก็ต่างยืนมองดูไปที่พวงมาลัยนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นพอหันหลังกลับมามองที่บิดานอนอยู่ ก็ปรากฎว่าบิดาได้สิ้นลมหายใจจากไปด้วยอาการที่สงบ และได้ไปบังเกิดเป็นเทพยดาบนสวรรค์ชั้นดุสิตในขณะนั้นทันที พร้อมทิพย์วิมานกว้างใหญ่ยาวถึง 25 โยชน์ มีนางอัปสรสวรรค์เป็นบริวารแวดล้อมธัมมิกอุบาสกถึง 1000 นาง
       ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเมื่อได้กลับไปถึงพระเชตะวันวิหารแล้ว ก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และทูลถามถึงสาเหตุที่ธัมมิกอุบาสกได้ยกมือขึ้นและกล่าวไม่ให้แสดงธรรมต่อ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงตรัสถึงสาเหตุที่ธัมมิกอุบาสกได้กระทำเช่นนั้น พร้อมตรัสต่อไปว่า "บุคคลใดเป็นผู้ไม่ประมาท จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรชิตก็ตาม เขาละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในโลกหน้า" เมื่อเหล่าบรรดาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้ทราบความจริงเช่นนั้นแล้ว ก็คลายความสงสัยลงในที่สุด
        ฉะนั้นเราจะเห็นกันได้ว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลอื่นใครจะเป็นที่พึ่งได้เล่า เพราะบุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นหาได้ยาก ดั่งเช่นธัมมิกอุบาสกผู้มีบุญอันได้ทำไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง คือบันเทิงในโลกนี้ละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์ เขาย่อมบันเทิง เขาย่อมรื่นเริง เพราะเห็นความบริสุทธิ์แห่งกรรมของตน


            ผู้ฝึกใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ขึ้นสู่พระอริยะ ย่อมมีคุณค่ามากกว่า การได้ทรัพย์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ทั้งปวง
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

อานิสงส์ของการบูชาบุคคลที่ควรบูชา


         เมื่อไฟไหม้บ้าน ภาชนะ เครื่องใช้อันใดที่เจ้าของนำออกไปได้ ของนั้นก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าของ ที่นำออกไม่ได้ก็จะถูกไฟไหม้วอดวายอยู่ ณ ที่นั้นเอง ฉันใด คนในโลกนี้ถูกไฟ คือ ความแก่ ความตายไหม้อยู่ ก็ฉันนั้น คนผู้ฉลาดย่อมนำของออกด้วยการให้ทาน ของที่บุคคลให้แล้วชื่อว่านำออกดีแล้ว มีความสุขเป็นผล ส่วนของที่ยังไม่ได้ให้ หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่โจรอาจขโมยเสียบ้าง ไฟอาจจะไหม้เสียบ้าง อีกอย่างหนึ่ง เมื่อความตายมาถึงเข้า บุคคลย่อมต้องละทรัพย์สมบัติ และแม้สรีระของตนไว้ นำไปไม่ได้เลย ผู้มีปัญญารู้ความจริงข้อนี้แล้ว พึงบริโภคใช้สอย พึงให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เมื่อได้ให้ได้บริโภคตามสมควรแล้ว เป็นผู้ไม่ถูกติเตียนย่อมเข้าสู่ฐานะอันประเสริฐอย่างเช่นเอกาสาฎกพราหมณ์ที่ได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก  
        ในกาลสมัยของพระวิปัสสีพระพุทธเจ้า พระมหากัสสปได้เกิดเป็นพราหมณ์ยากจนผู้มีผ้าห่มผืนเดียวผลัดกันห่มกับนาพราหมณ์มณีผู้เป็นภรรยา จึงมีนามว่าเอกาสาฎกพราหมณ์ วันหนึ่งท่านได้ห่มผ้าผืนนั้นไปฟังธรรม ขณะฟังธรรมอยู่นั้นก็เกิดปิติในรสพระธรรมอย่างแรงกล้า และด้วยความปิตินั้นเองทำให้ท่านปรารถนาที่จะบูชาพระธรรม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะบูชาได้ มีแต่ผ้าสาฎกที่ห่มมาผืนเดียวเท่านั้นทีพอจะบูชาได้ ครั้นจะถวายแต่ด้วยจิตคิดตระหนี่หวงแหนเกิดขึ้น คิดว่าเรามีอยู่เพียงผืนเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังใช้กันผลัดห่มมาฟังธรรมกับนางพราหมณ์มณี ถวายแล้วก็หมดกัน แต่ยิ่งฟังธรรมไปเรื่อยๆปิติในรสพระธรรมก็เพิ่มทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จนที่สุดในวาระที่3ท่านจึงชนะความตระหนี่ เอาผ้าสาฎกของท่านออกมาพับแล้วคานเข้าไปบูชาพระพุทธเจ้า แล้วเปล่งเสียงว่า ชิตํ เม ชิตํ เม แปลว่าเราชนะแล้ว ฝ่ายพระเจ้าพันธุมราชประทับฟังธรรมอยู่ด้านหลังม่าน พอได้ยินเช่นนั้นจึงได้ให้ราชบุรุษไปถามว่าที่กล่าวว่าชนะแล้วนั้นหมายความว่าอย่างไร พราหมณ์จึงได้กล่าวว่าที่เรากล่าวว่าเราชนะแล้วหมายถึงเราชนะความตระหนี่หวงแหนที่ครอบงำจิตใจของตน เป็นความชนะที่ไม่กลับมาพ่ายแพ้อีก เมื่อพระราชาทราบเช่นนั้นก็ทรงอนุโมทนากับพราหมณ์พร้อมทั้งพระราชทานผ้าอันมีค่าเป็นอันมากแก่พราหมณ์นั้น
        วันหนึ่งในฤดูหนาว พระราชาทรงพระราชทานผ้ากัมพลแดงอันมีค่าหนึ่งแสนและสั่งว่าท่านจงห่มผ้ากัมพลผืนนี้มาฟังธรรม พราหมณ์รับพระราชทานผ้าแล้วคิดว่าผ้ากัมพลอันมีค่าสูงส่งเช่นนี้ไหนเลยจะเหมาะกับร่างกายที่เน่าเปื่อยของเรา จะมีประโยชน์อะไรเล่า เราจะทำให้เหมาะสมกับผ้ากัมพลผืนนี้ จึงได้นำผ้ากัมพลผืนนั้นไปประดับบนเพดานเตียงที่พระพุทธเจ้าประทับแสดงธรรม วันหนึ่งพระราชาเขัาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธรัศมีซึ่งมี6สี(ฉับพรรณรังสี)ได้ส่องกระทบผ้ากัมพลเปล่งแสงเจิดจ้า พระราชาทูลว่านี่เป็นผ้ากัมพลของหม่อมฉันๆได้ให้แก่เอกาสาฎกพราหมณ์ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า มหาบพิตร พระองค์บูชาเอกาสาฎกพราหมณ์ เอกาสาฎกพราหมณ์บูชาเราตถาคต พระราชาทรงเลื่อมใสพราหมณ์ จึงได้แต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต และพระราชทานทรัพย์สมบัติให้เป็นจำนวนมาก เอกาสาฎกพราหมณ์นั้นจึงได้รับอานิสงส์ของการบูชาบุคคลที่ควรบูชาอย่างฉับพรรณทันด่วน เหตุเพราะว่าได้บูชาบุคคลที่ถือว่าประเสริฐที่สุดในโลก และหลังจากที่เอกาสาฎกพราหมณ์ด้รับอานิสงส์ที่สูงส่งเช่นนั้นแล้ว ท่านก็มิได้ประมาท หมั่นสร้างกุศลอยู่อย่างเนืองนิตย์ หลังจากที่ท่านได้ตายไปแล้วก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก หลังจากจุติจากเทวโลกก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า มีแต่พระปัจเจกพระพุทธเจ้า วันหนึ่งท่านได้พบพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านได้ถวายผ้าห่มแก่พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พร้อมตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ความเสื่อมใดๆจงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลยนับแต่นี้ อยู่มาวันหนึ่งน้องสาวและภรรยาของท่านทะเลาะกัน พอดีขณะนั้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเข้ามาบิณฑบาตร น้องสาวของท่านได้ถวายบิณฑบาตแล้วตั้งความปรารถดังๆว่า เจ้าประคุ้นด้วยอานิสงส์แห่งทานนี้ เกิดชาติหน้าฉันใดขออย่าให้ได้พบเจอและขอให้ห่างไกลจากหญิงพาล(พี่สะใภ้ของข้าพระเจ้า)เช่นนี้ 100 โยชน์เถิด ฝ่ายภรรยาของท่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ คิดว่าถ้าเช่นนั้นขอพระรูปนี้อย่าได้ฉันอาหารของมันเลย จึงหยิบเอาบาตรที่บรรจุอาหารอย่างดีไว้เต็มเปรี่ยมเอาไปเททิ้ง แล้วหยิบเอาขยะขี้โครนใส่มาวางแทน ท่านพระปัจเจกพระพุทธเจ้าผู้ทรงละกิเลสสิ้นแล้วมิได้ทรงหวั่นไหว หยิบบาตรแล้วเดินผ่านไป น้องสาวของท่านเห็นดังนั้นจึงร้องขึ้นว่า นี่นังพาลแก่จะด่าหรือทุบตีฉันอย่างไรก็ไม่ว่ากะไรเลย กรรมนี้ไม่เท่าไหร่หรอก แก่รู้หรือเปล่าว่าแกทำอะไรลงไป แกเอาขยะขี้เลนใส่ในบาตรพระปัจเจกพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธ์หมดจดจากกิเลส ผู้บำเพ็ญบารมีมาถึงสองอสงไข แกทำอย่างนี้ได้อย่างไร ผลกรรมที่แกจะได้รับจะสาหัสสักเพียงใด ฝ่ายภรรยาของท่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นเกิดความกลัว ได้สติจึงวิ่งไปขอรับบาตรคืนมาแล้วล้างจนสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น แล้วบรรจุอาหารอันประณีตลงแทน แล้วนำไปถวายพระปัจเจกพระพุทธเจ้า และด้วยผลกรรมที่มีในครั้งนั้นได้ส่งผลให้นางได้ไปเกิดเป็นเศรษฐีเป็นสตรีที่มีกลิ่นตัวแรง นางได้แต่งงานถึง7ครั้ง แต่ไม่มีสามีของนางคนใดทนกลิ่นแรงประดุจกลิ่นคูถได้เลย ในวันแรกที่เข้าห้องหอ สามีของนางส่งนางกลับบ้านทุกครั้ง เหตุกราณ์นี้ได้เกิดขึ้นในสมัยของพระกัสสพระพุทธเจ้า นางธิดาผู้นี้ก็สุดแสนที่จะเซ็งกลับเหตุกราณ์ที่เกิดขึ้น ครั้นอยู่ต่อมาพอนางได้ทราบข่าวการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระกัสสปพระพุทธเจ้า และมหาชนทั้งหลายกำลังก่อสร้างพระเจดีย์เพื่อบูชาพระองค์ นางจึงรวบรวมทองคำเครื่องประดับยุบทำเป็นทองคำแท่ง รวมได้ความยาว1ศอก กว้าง1คืบ สูง4นิ้ว นำไปแทนอิฐในการสร้างพระเจดีย์ พร้อมดอกบัว8กำ นำไปบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พร้อมอธิฐานจิตว่า ด้วยอานิสงส์ที่มีในครั้งนี้ ขอให้ที่ใดที่นางไปเกิด ขอให้มีกลิ่นตัวและกลิ่นปากหอมเหมือนดอกบัวด้วยเถิด และด้วยอานิสงส์ในครั้งนั้นนั่นเองก็ช่วยดลบัลดารให้สามีคนแรกของนางเกิดคิดถึงและอยากพบและปรารถนาที่จะพานางไปเที่ยว จึงส่งคนไปเชิญนาง นางก็บอกว่านางไปไม่ได้หรอก เพราะไม่มีเครื่องประดับเลย เนื่องจากนำไปบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปพระพุทธเจ้าหมดแล้ว บุตรเศรษฐีก็บอกว่าให้นางมาเถิด ท่านจะมอบเครื่องประดับให้ใหม่ ครั้นเมื่อนางได้ก้าวเข้ามาในเรือนของอดีตสามีคนแรกของนาง  กลิ่นปากและกลิ่นกายของนางก็หอมจรุงใจยิ่งนัก บุตรเศรษฐีแปลกใจเหตุไฉนกลิ่นตัวของนางจึงเปลี่ยนไป จึงได้สอบถามนาง นางจึงเล่าให้ฟังว่านางระลึกชาติได้ถึงกรรมชั่วที่ได้เคยทำไว้ เมื่อบุตรเศรษฐีทราบถึงคุณของพระพุทธศาสนา เห็นโทษของการล่วงเกินพระรัตนตรัย จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงนำผ้ากัมพลมีค่าสูงมาหุ้มพระเจดีย์ซึ่งสูงถึง 1โยชน์ เอาทองคำทำเป็นดอกบัวบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า พร้อมกับรับนางไว้เป็นภรรยา และด้วยอานิสงส์ของการบูชาบุคคลที่ควรบูชาในครั้งนั้น ก็ช่วยส่งผลให้ ชีวิตของท่านรุ่งโรจน์ เป็นสัมมาทิฐิ และได้บรรลุธรรมเข้าสู่นิพพานลงในที่สุด ส่วนภรรยาของท่านก็ได้มาเกิดในศาสนาของพระสมณะโคดมพระพุทธเจ้า ได้บวชเป็นพระเถรี  และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในด้านการระลึกชาติได้ ส่วนเอกาสาฎกพราหมณ์ในครั้งนั้น ก็ได้มาเกิดเป็นพระมหากัสสป อติมหาสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศในด้านธุดงค์ และกล่าวสอนเรื่องธุดงค์ ซึ่งถือว่าเป็นพระเถระที่มีความสำคัญในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร เพราะท่านได้เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนา(รวบรวมเรียบเรียงพระธรรมวินัยที่เป็นระบบในการศึกษาให้สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้)

     ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าการบูชาบุคคลที่ควรบูชานั้น ถือว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุด ฉะนั้นจึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ร่วมบูชาพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ ณ.ศาลาพระแก้วมรกต เพื่อเป็นทุนเป็นเสบียงไปสู่ภพหน้าอย่างเช่นเอกาสาฎกพราหมณ์ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

       การเสียสละนั้นไม่มีคำว่าขาดทุน เพราะเป็นแรงเกืัอหนุน หนุนส่ง เพิ่มพูนบารมี 
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

อานิสงส์ของการฟังพระอภิธรรม


          พระพุทธเจ้าผู้ทำความสว่างเกิดขึ้นในโลก พระองค์ทรงประกาศธรรมสำหรับดับทุกข์ ชนเหล่าใดที่ประพฤติธรรมในธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว ชนเหล่านั้นจักข้ามแดนมฤตยูที่ข้ามได้ยาก อย่างเช่นค้างคาว 500 ตัวที่ได้มีกล่าวไว้ในพระไครปิฎก
       ในกาลสมัยของพระกัสสปพระพุทธเจ้า ในคราวหนึ่งพระองค์ได้ทรงสอนพระอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ คือ ปกรณ์ 7 ประการ ที่พระองค์ได้กล่าวว่าเป็นปิฎกที่ 3 และเป็นปิฎกที่มีความสำคัญที่สุด ถ้าเทวดาและมนุษย์ปฏิบัติในด้านอภิธรรมทั้ง 7 ประการนี้ได้ครบถ้วน ท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วที่สุด ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงห์ ก็ได้ทรงเลือกนำเอาพระอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์นี้ไปแสดง เทศน์จบเดียว ปรากฎว่าพระพุทธมารดาได้สำเร็จเป็นพระโสดา และมีเทวดาและพรหมอย่างมากมายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้าทรงสอนพระอภิธรรมแก่บรรดาพระสาวกแล้ว คณะสาวกทั้งหลายก็มีความประสงค์ที่จะท่องจำให้ขึ้นใจ จึงพากันไปซ้อมท่องพระอภิธรรมในถ้ำใหญ่ เพื่อท่องให้คล่องให้เกิดความชำนาญ เพื่อจะได้จำข้อธรรมไว้ประพฤติปฏิบัติ ในขณะที่ท่านทั้งหลายซ้อมท่องพระอภิธรรมในถ้ำหลังนั้น ได้สวดเป็นทำนองอันไพเราะอย่างต่อและเนื่องสม่ำเสมอ ค้างคาว 500 ตัวที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ ได้ฟังก็รู้สึกชอบ ถึงแม้จะฟังไม่ออกว่าสวดอะไร แต่ว่าด้วยเสียงสวดและทำนองอันไพเราะนั้น ทำให้ค้างคาวทั้งหมดเคลิ้ม ฟังไปฟังมาเผลอหลับ เท้าก็เลยหลุดร่วงหล่นลงมาศีรษะกระทบหินด่านล้างตายหมดทั้ง 500 ตัว และด้วยจิตที่เป็นกุศลในระหว่างที่ตาย ก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสทั้งหมด มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 500 เป็นบริวาร พอมาถึงสมัยของพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เหล่าบรรดาเทวดาทั้ง ๕๐๐ นั้นก็จุติจากเทวดาลงมาเกิดในตระกูลของชาวประมง ต่อมาได้มาพบท่านพระสารีบุตร ทั้ง ๕๐๐ คนมีความเลื่อมใสในพระสารีบุตร ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร บวชได้ไม่นาน พระสารีบุตร ก็ได้เทศน์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ที่ทั้ง 500 คนได้เคยฟังมาแล้วเมื่อครั้งยังเป็นค้างคาวอยู่ พอเทศน์จบเพราะอาศัยปัจจัยเดิมที่เคยฟังอภิธรรมมาก่อน พระทั้ง ๕๐๐ รูปก็ได้บรรลุเป็นพระอรหัตทั้งหมด
      ฉะนั้นเราจะเห็นกันได้ว่าการฟังธรรมนั้นถือว่าเป็นอุดมมงคลอย่างสูงสุด ผู้ฟังย่อมได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ผู้ฟังย่อมได้ปัญญา และธรรมย่อมนำพาไปสู่สวรรค์ และท้ายสุดก็ส่งผลให้ได้บรรลุสู่พระนิพพาน
ฉะนั้นท่านผู้ใดอยากมีปัญญามากและดับทุกข์ได้ ก็หมั่นฟัง พระอภิธรรม แล้วนำมาประพฤติธรรมในธรรม อย่างเช่นค้างคาว 500 ตัวที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ที่ท้ายสุดก็ได้บรรลุเป็นพระอรหัตนั่นแล 

          ชีวิตนี้ไม่แน่นอน มีพบมีพราก มีจากมีลา เหมือนนกที่ถูกยิงตกจากท้องฟ้า เหมือนปลาที่ถูกจับไปฆ่ากิน ชีวิตนี้ยังไม่สิ้น ก็อย่างพึงดูหมิ่นต่อการสร้างกุศลกรรม ชีวิตที่ดีมีสุขล้ำ ก็เพราะมีกุศลกรรมชักนำพาไป
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

จุนทสูกริกะ


      นพาลย่อมสำคัญความชั่วปานประหนึ่งน้ำหวานตลอดเวลาที่ความชั่วยังไม่ให้ผล แต่พอความชั่วให้ผลเท่านั้น เขาจึงจะรู้ซึ่งผลของความชั่วที่ทำให้ได้รับความทุกข์ อย่างเช่นนายจุนทสูกริกะ ที่ได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก
          นายจุนทสูกริกะนั้นเป็นผู้ที่มีอาชีพฆ่าสุกรขาย ปกติแกจะนำข้าวเปลือกใส่เกวียนไปตามชนบทเพื่อแลกกับลูกสุกรแล้วนำกลับมาเลี้ยง พอลูกสุกรโดได้ที่ แกก็จะจับเอาสุกมัดกับเสาให้แน่นแล้วใช้ค้อนทุบตีตามตัวสุกร พอเนื้อสุกรพองได้ที่ ก็งัดปากสุกรให้อ้าออก แล้วนำน้ำร้อนทีเดือดพล่านกรอกลงไปในปากของสุกร เพื่อล้างสิ่งสกปรกในท้องให้ออกทางทวารหนัก เมื่อล้างสะอาดแล้วก็นำน้ำร้อนส่วนที่เหลือราดลงไปตามลำตัวเพื่อให้หนังหลุดออก แล้วใช้ดาบตัดหัวสุกร แล้วนำชามมารองเลือด แล่เอาเนื้อมาขยำกับเลือดเอาไปย่างกิน ส่วนที่เหลือนำไปขาย แกทำอย่างนี้มา 55 ปี บญกุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่สนใจที่จะทำเลย ทั้งที่บ้านของแกก็อยู่ใกล้วิหารของพระพุทธเจ้า ข้าวสักทัพพีก็ไม่เคยใส่บาตร อยู่ต่อมาแกเกิดป่วยมีอาการร้อนอยู่ข้างในเหมือนไฟนรกกำลังเผาไหม้แก่อยู่ แกร้องและคลานเหมือนสุกรและดิ้นทุรนทุราย ครอบครัวของแกต้องจับแกผูกติดกับเสาแล้วเอาผ้าอุดปาก แต่ก็ไม่ได้ผล แกดิ้นและร้องตลอดทั้งวันทั้งคืนเหมือนสุกรกำลังถูกทุบตีจนชาวบ้านนอนไม่หลับ นี่เป็นเพราะว่าโรคกรรมที่กำลังให้ผล ความร้อนที่แกได้รับเหมือนโดนไฟจากนรกอเวจีกำลังเผาอยู่ แกต้องทนทุกทรมานอยู่ตลอด 7 วัน ครั้นรุ่งเช้าพระภิกษุสงฆ์เดินผ่านบ้านแก ได้ยินเสียงร้องเสียงเหมือนสุกร สำคัญว่านายจุนทสูกริกะคงจะมีงานมงคลใหญ่เป็นแน่แท้ จึงปิดบ้านฆ่าสุกรตลอด 7 วัน ครั้นกลับมาถึงวิหารได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ทูลถามเรื่องดังกล่าว ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าเสียงที่ได้ยินตลอด 7 วันนั้นไม่ใช่เสียงของสุกรที่กำลังถูกฆ่าหรอก แต่เป็นเสียงของนายจุนทสูกริกะที่กำลังถูกไฟจากนรกอเวจีกำลังเผา เขากำลังถูกนายนิรยบาลทรมานอยู่ตลอดทั้ง 7 วัน และวันนี้เขาได้ตายเสียแล้ว และไปบังเกิดในนรกอเวจี
          ฉะนั้นเราจะเห็นกันได้
ว่า คนทำช้่วย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง คือเศร้าโศกในโลกนี้และเศร้าโศกในโลกหน้า เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมเดือดร้อน เพราะมองเห็นกรรมชั่วองตนเอง อย่างเช่นนายจุนทสูกริกะที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

          ปิดทององค์พระให้ดูงดงามและสดใส ก็ไม่ยิ่งใหญ่และสำคัญเท่ากับปิดใจของตน ไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง 
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

ผัวเทวดาเมียเปรต


       จะเอาอะไรแน่นอนกับโลกที่ยังไม่หยุดหมุน วันคืนยังเปลี่ยนไป แม้น้ำทะเลยังขึ้นๆลงๆชั่วชีวิตของคนจะไม่มีอะไรแน่นอนเลย วิถีชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไปด้วยอำนาจของกรรม ไม่มีใครอยากให้ชีวิตของตนตกต่ำ อับเฉาเศร้าหมอง ผิดหวังจากทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกๆชีวิตย่อมปรารถนาให้ชีวิตของตนราบเรียบและสมหวังในชีวิตของตนทุกอย่าง แต่ชีวิตของแต่ละบุคคลจะสุขสมหวังตามที่ตนปรารถนาหรือจะได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อนก็ขึ้นอยู่ด้วยอำนาจของกรรมที่ตนได้กระทำเอาไว้ในอดีตนั่นเอง เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงและให้ผลได้จริงๆและเป็นกฎตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนดั่งเช่น" บุคคลเอาน้ำมันเทลงไปในน้ำ เอาก้อนหินทิ้งลงในน้ำ ถึงแม้ว่าจะอ้อนวอนสักเท่าใด เพื่อให้น้ำมันจมและก้อนหินลอยขึ้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย น้ำมันคงลอยขึ้นเหนือน้ำ ก้อนหินคงจมอยู่ใต้น้ำ เพราะน้ำมันมีสภายลอยขึ้นเหนือน้ำ ก้อนหินมีสภาพจมน้ำฉันใด เช่นเดียวกับความดีเป็นเหตุให้เฟื่องฟู ส่วนความชั่วเป็นเหตุให้ล่มจมตกต่ำ เมื่อทำแล้วจะอ้อนวอนให้มีผลตรงกันข้ามหาได้ไม่ดั่งเช่นนายช่างทอผ้าและภรรยาในครั้งพุทธกาล ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก
        นายช่างทอผ้านั้นเป็นบุคคลที่มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นบุคคลที่ใจบุญกุศล เป็นบุคคลที่บำเพ็ญบุญกุศลอยู่อย่างเนืองนิตย์ ด้วยการบริจาคทาน รัษาศีลและเจริญภาวนา ส่วนภรรยาของท่านนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฐิ ไม่มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัย เป็นคนตระหนี่ ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญและไม่ทำบุญกุศล อีกทั้งยังด่าทอสามีของนาง ในระหว่างที่สามีของนางกำลังถวายทานแด่พระภิกษุสงส์ ด้วยข้าว น้ำ และผ้าห่ม ด้วยจิตที่อิจฉาริษยานั้น นางได้ด่าทอและแช่งสามีของนางว่า ขอให้ข้าวและน้ำที่กำลังถวายทานอยู่นั้น จงกลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เลือดหนอง ซึ่งเป็นอาหารของสามีนางในภพหน้าด้วยเถิด และขอให้ผ้าห่มที่ถวายอยู่นั้นจงกลายเป็นแผ่นเหล็กลุกโชนด้วยเถิด ครั้นอยู่ต่อมาไม่นานเท่าใดนัก สองผัวเมียนั้นก็ได้ถึงแก่กรรมลงในที่สุด และด้วยอำนาจของกุศลกรรมที่นายช่างทอผ้าได้กระทำเอาไว้ในอดีตก็ได้ส่งผมให้ท่านไปเกิดเป็นรุกขเทวดา ซึ่งถึงพร้อมด้วยอนุภาพมีความสุขตามอัตภาพ ณ.ป่าแห่งหนึ่ง ส่วนภรรยาของนายช่างทอผ้าที่ได้กระทำบาปอกุศลไว้นั้น ก็ได้ไปเกิดเป็นเปรตเปลือยกาย รูปร่างทราม อดข้าว อดน้ำ และได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ไม่ไกลจากที่อยู่ของรุกขเทวดาผู้เป็นสามีของนางในชาติก่อนนั้นเอง นางเปรตนั้นต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากและวันหนึ่งก็ได้เที่ยวเร่ร่อนไป จนไปถึงที่อยู่ของรุกขเทวดาผู้เป็นสามีของนางในอดีต พร้อมกับกล่าวว่า นายฉันไม่มีผ้าพันกายเลย ฉันหนาวมาก อีกทั้งยังถูกความหิว ความกระหายครอบงำอย่างเหลือเกิน แล้วต้องเที่ยวเร่ร่อนไป ขอท่านได้โปรดเมตตา ให้ผ้า ข้าว น้ำ แก่ฉันบ้างเถิด ฝ่ายรุกขเทวดาก็รู้ว่านางเปรตนั้นคือภรรยาของตนในอดีตชาติ ก็เกิดสงสารและคิดช่วยเหลือ จึงได้นำข้าว น้ำ และผ้าอันเป็นทิพย์ยื่นให้นางเปรต พอนางเปรตนั้นได้รับจึงรีบนำข้าวและน้ำใส่ปากและนำผ้ามาห่มกายในทันที แต่ด้วยอำนาจของกรรมในอดีตชาติที่นางเปรตนั้นได้ด่าทอและแช่งสามีของนางในระหว่างที่สามีของนางกำลังถวายทานแด่พระภิกษุสงส์ ก็ทำให้ข้าวและน้ำที่นางเปรตกำลังดื่มกินอยู่นั้นก็ได้กลายเป็น อุจจาระ ปัสสาวะ เลือดหนอง ในทันที ส่วนผ้าที่ห่มกายอยู่นั้นก็ได้กลายเป็นแผ่นเหล็กลุกโชนเป็นไฟทันที ทำให้นางเปรตนั้นต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอย่างน่าเวทนา นางเปรตนั้นได้คายข้าว น้ำและได้ทิ้งผ้าที่ห่มกายอยู่ในทันที และเที่ยวเร่ร่อนใช้กรรมต่อไป ส่วนรุกขเทวดานั้นก็สงสารอดีตภรรยาอย่างจับใจ แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะว่ากรรมของใครก็ของมันจะช่วยแบ่งเบาหรือใช้แทนกันนั้นไม่ได้
      ฉะนั้นเราจะเห็นกันได้ว่าธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจถ้าบุคคลมีใจดีแล้วจะพูดหรือทำก็ตามสุขย่อมตามเขาไปเพราะสุจริต อย่าง กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เหมือนเงาที่ไม่พรากจากตนฉันนั้นดั่งเช่นนายช่างทอผ้า
       ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจถ้าบุคคลมีใจชั่วแล้วจะพูดหรือทำก็ตามทุกข์ย่อมตามเขาไปเพราะ ทุจริต อย่าง กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เหมือนล้อเกวียนที่หมุนตามรอยเท้าโคที่เทียมเกวียนฉันนั้นดั่งเช่นภรรยาของนายช่างทอผ้าดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น 
      ฉะนั้นบัณฑิตผู้มีปัญญาทั้งหลาย ไม่ควรประมาทในชีวิต ควรงดเสียซึ่งการทำบาปอกุศลทั้งปวง ควรหมั่นสั่งสมบุญกุศลคุณงามความดีเพื่อเป็นทุนหรือเสบียงไปสู่ภพหน้าเอาไว้มากๆ เพราะว่าบุญกุศลคุณงามความดีเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตย์ทั้งหลายในโลกนี้และโลกหน้า

          มืดก้บสว่าง ดำกับขาวยาวเป็นเส้นขนานกันฉันใด ธรรมะกับอธรรม ย่อมยาวเป็นเส้นขนานกันฉัน
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

ผู้ที่ทำร้ายผู้ที่มีคุณธรรมสูง ย่อมได้รับโทษสูง 


 ในครั้งพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ.พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ในครั้งนั้นแล พระสารีบุตร พระอัครสาวกฝ่ายขวาของพระพุทธองค์ ได้เข้านิโรธสมาบัติอยู่ ในขณะนั้นได้มียักษ์ 2 ตน มีนามว่านันทยักษ์และเหมตายักษ์ ได้เหาะมาทางอากาศ เห็นพระสารีบุตรกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ นันทยักษ์เป็นยักษ์อันตพาล เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมาก จึงคิดที่จะทำร้ายพระสารีบุตร แต่เหมตายักษ์ผู้เป็นเพื่อนได้ห้ามไว้ถึง 3 ครั้ง เพราะพระสารีบุตรเป็นพระเถระที่มีคุณธรรมสูงมีฤทธิ์เดช มาก แต่นันทยักษ์ไม่ฟัง ได้เหาะขึ้นไปบนอากาศ แล้วใช้ไม้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตน ฟาดลงมาที่บนเศียรของพระสารีบุตรอย่างเต็มแรง ด้วยความแรงของฤทธิ์ที่ฟาดลงมานั้น ทำให้ภูเขาพังทะลายไปถึง 100 ลูก แต่ก็สามารถทำอันตรายพระสารีบุตร ซึ่งอยู่ในนิโรธสมาบัติได้เลยแม้แต่น้อย
       และด้วยบาปกรรมที่ได้ทำร้ายต่อพระอรหันต์ผู้มีคุณธรรมอันสูงยิ่งนั่นเอง ก็ได้ส่งผลทำให้ร่างของนันทยักษ์ เกิดเร่าร้อนเหมือนถูกไฟนรกเผา นันทยักษ์ได้ส่งเสียงร้องดังกึกก้องไปทั่วสารทิศว่า เราร้อนเหลือเลย และในทันใดนั่นเอง ร่างของนันทยักษ์ก็ร่วงจากท้องฟ้า ลงมาสู่ผืนดินในทันที แต่ด้วยอำนาจบาปกรรมที่ทำไว้ มันหนักเกินกว่าที่ผืนดินจะรับไว้ได้ ทำให้แผ่นดินนั้นแยกออกเป็น2ส่วน ส่งให้ร่างของนั้นทยักษ์ร่วงลงสู่อเวจีมหานรกในทันที
        ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นเหตุกราณ์เช่นนั้น จึงได้เอ่ยถาม ท่านพระสารีบุตรว่า "ท่านพระสารีบุตร ท่านยังสบายดีหรือ ยังพอเป็นอยู่ได้หรือ ไม่มีทุกข์อะไรหรือ"
          ท่านพระสารีบุตรตอบท่านโมคคัลลานะ ว่า "ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี พอเป็นอยู่ได้ เพียงแต่เจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย"
               
      ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า "น่าอัศจรรย์จริงไม่เคยปรากฏ ท่านพระสารีบุตร ท่านมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากจริงๆ
     พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบเรื่องดังกล่าว จึงทรงเปล่งอุทานว่า จิตของใครตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ดุจภูเขา ไม่กำหนัดในอารมณ์อันชวนให้กำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันชวนให้ขัดเคือง ผู้ใดอบรมจิตได้อย่างนี้ ทุกข์จะมาถึงผู้นั้นแต่ที่ไหนฯ..ชุณหสูตร 25/93อดีตกาลพระโพธิสัตว์

ถ้าจะบีบบังคับให้เรายอมพ่ายแพ้และจำนนท์ ก็จะนั่งสวดมนต์ปล่อยให้รอต่อไป
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

เวฬุกชาดก


    ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลที่มีสมบัติมากในแคว้นกาสี ครั้นเล็งเห็นโทษในกามคุณและอานิสงส์ในการออกบวช จึงละกามทั้งหลายแล้วเข้าป่าหิมพานต์บวชเป็นฤๅษี เจริญสมาธิด้วยการบริกรรมกสิณต่างๆ ทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้เกิด แล้วอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ฌาน ท่านมีบริวารมาก มีดาบส ๕๐๐ แวดล้อม เป็นศาสดาของหมู่ดาบส ครั้งนั้นมีลูกอสรพิษตัวหนึ่ง เที่ยวเลื้อยไปตามธรรมดาของตนจนถึงที่อยู่ของดาบสรูปหนึ่ง ดาบสเห็นแล้วเกิดความรักมันเหมือนบุตร จึงจับมันเลี้ยงไว้ให้นอนในกระบอกไม้ไผ่ปล้องหนึ่ง เพราะเหตุที่มันนอนในกระบอกไม้ไผ่ ดาบสทั้งหลายจึงให้ชื่อมันว่า "เวฬุกะ" และเพราะเหตุที่ดาบสนั้นเลี้ยงดูมันด้วยความรักเหมือนมันเป็นบุตร ดาบสทั้งหลายจึงให้ชื่อว่า "เวฬุกบิดา".
        ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ได้ยินข่าวว่าดาบสคนหนึ่งเลี้ยงอสรพิษ จึงเรียกมาถามว่า ข่าวว่าคุณเลี้ยงอสรพิษจริงหรือ? เมื่อดาบสนั้นตอบว่า"จริง" ก็กล่าวเตือนว่า ขึ้นชื่อว่าอสรพิษวางใจไม่ได้เลย คุณอย่าเลี้ยงมันนะ ดาบสตอบว่าข้าแต่อาจารย์ มันเหมือนลูกของผม ผมไม่อาจพรากมันได้
         พระโพธิสัตว์เตือนซ้ำว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจักต้องถึงตายเพราะใกล้ชิดมันแน่นอน ดาบสนั้นไม่เชื่อถือถ้อยคำของพระโพธิสัตว์และไม่อาจปล่อยอสรพิษ
ต่อจากนั้นล่วงมา ๒-๓ วันเท่านั้น ดาบสทั้งหมดพากันไปหาผลไม้ ครั้นถึงที่แล้วก็เห็นว่าผลไม้หาได้ง่าย เลยพักอยู่ในที่นั้นเอง ๒-๓ วัน แม้ดาบสเวฬุกบิดาเมื่อไปกับหมู่ดาบสนั้น ก็ให้อสรพิษนอนในปล้องไม้ ปิดไว้แล้วจึงไป ล่วงไป ๒-๓วันจึงกลับมาพร้อมกับหมู่ดาบส คิดว่าเราจะให้อาหารแก่เวฬุกะ เปิดกระบอกไม้ไผ่แล้วพูดว่า มาเถิดลูก เจ้าหิวละซี พลางสอดมือเข้าไป อสรพิษโกรธเพราะอดอาหารมาตั้ง ๒-๓ วัน จึงฉกมือที่สอดเข้าไป ทำให้ดาบสถึงสิ้นชีวิตอยู่ตรงนั้นเอง แล้วก็เลื้อยเข้าป่าไป
         ดาบสทั้งหลายเห็นดังนั้นก็บอกแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์สั่งให้ทำศพของดาบสผู้เสียชีวิตแล้วนั่งท่ามกลางหมู่ดาบส แล้วกล่าวสอนว่า“บุคคลใดเมื่อท่านผู้หวังดีมีความเอ็นดูเกื้อกูลกล่าวสอนอยู่มิได้กระทำตามคำที่สั่งสอน บุคคลผู้นั้นย่อมถูกภัยพิบัติกำจัดเสีย นอนอยู่ เหมือนบิดาของงูเวฬุกะนอนตายอยู่ฉะนั้น
ดาบสพระโพธิสัตว์กล่าวสอนหมู่ดาบสอย่างนี้แล้ว ได้หมั่นเจริญพรหมวิหาร๔ เมื่อสิ้นอายุก็ไปเกิดในพรหมโลก พระพุทธเจ้าครั้นทรงนำเรื่องนี้มาแสดงแล้วทรงตรัสว่า ดาบสเวฬุกบิดาในกาลนั้นได้มาเป็นภิกษุผู้ว่ายากในบัดนี้ หมู่ดาบสที่เหลือได้เป็นพุทธบริษัท ส่วนศาสดาของหมู่ดาบสในครั้งนั้นได้มาเป็นเราตถาคตนั่นเอง
 

มาตราฐานความชอบของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป เหมือนกับการเลือกซื้อสินค้ฉะนั้นในเมื่อคนเรามันไม่มีมาตราฐาน ถึงแม้ว่าจะเอาอะไรมาวัดสักกี่ร้อยกี่พันที มันก็ยังไม่ได้มาตราฐานอยู่ดี
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

เหตุที่ทำให้พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรฆ่าตาย


       เธอจงป้องกันตนให้ดี เหมือนเมืองชายแดนที่เขาป้องกันแข็งแรงทั้งภายในภายนอก เธออย่าปล่อยโอกาสให้ล่วงเลยไปเปล่า เพราะผู้ที่พลาดโอกาสเมื่อตกนรกย่อมเศร้าโศก เหมือนพระมหาโมคคัลลานที่ได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก
      พระมหาโมคคัลลานเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มาก สามารถเหาะขึ้นไปพบเทวดาบนสวรรค์ และลงไปถามสารทุกข์สุขดิบของพวกสัตว์ที่อยู่ในนรกได้ แต่ถึงแม้ว่าท่านจะมีฤทธิ์มากสักเพียงใดก็ตาม ท่านก็ยังถูกพวกพวกโจรลอบสังหารทุบตีจนเสียชีวิต
ในครั้งแรกท่านได้ใช้กำลังแห่งฤทธิ์หลบหนีการลอบสังหารออกมาได้ผ่านทางช่องลูกกุญแจ และในครั้งที่สองก็ได้หลบหนีออกมาทางหลังคากุฏิ แต่พวกโจรก็ติดตามฆ่าท่านอย่างไม่ลดละ ทำให้ท่านเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเป็นเพราะเหตุไรกันหนอ ทำไมพวกจึงไม่ยอมลดละพยายารที่จะฆ่าท่านให้ได้ จึงได้เข้าฌาณย้อนอดีตชาติดู จึงได้รู้ว่ามีอยู่ชาติหนึ่งท่านได้ถูกภรรยายุยงบุกปั่นให้ฆ่าบิดาและมารดาของตนที่ตาบอดทั้งสองข้าง ท่านหลงเชื่อภรรยา จึงได้หลอกให้บิดาและมารดาขึ้นเกวียนเข้าไปในป่า บอกว่าจะพาไปเยี่ยมญาติ ในระหว่าทางก็ได้แกล้งทำเสียงเป็นโจรมาปล้น
        ด้วยความรักและห่วงลูกมาก บิดาและมารดาจึงบอกให้ลูกชายรีบหนีไป ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ ส่วนบุตรนั้นเมื่อได้โอกาสก็ทุบตีบิดามารดาจนถึงแก่ความตายสมความปรารถนา และด้วยผลของกรรมที่ทำในครั้งนั้นนั้นเอง ก็ได้ส่งผลให้ท่านต้องไปตกอยู่ในนรกเป็นแสนๆปีเลยทีเดียว พอพ้นจากนรกขึ้นมาได้ ได้มาเกิด ก็ถูกทุบตีจนตายอีกถึง 100 ชาติ
        ถึงแม้ว่าในชาติสุดท้ายท่านจะได้มาพบและฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถึงแม้ว่าท่านจะมีฤทธิ์มากสักปานใดก็ตาม แต่ด้วยผลของเศษกรรมนั้น ก็ยังตามส่งผลท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่สามารถที่จะหลีกหนีจากเงื้อมมือของกรรมนั้นไปได้ ท้ายสุดท่านจึงไม่หนี ยอมให้พวกโจรทุบตีแต่โดยดีจนกระดูกแตกละเอียด หลังจากนั้นท่านจึงได้ใช้กำลังแห่งฌานประสานกระดูกให้กลับแข็งแรง แล้วเหาะไปถวายบังคมกราบทูลอำลาพระพุทธเจ้า แล้วปรินิพพานลงในที่สุด
      ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ใดประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญานั้นย่อมเข้าถึงผู้ประทุษร้ายเสียเอง เมื่อกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก.ดังที่พระมหาโมคคัลลานประสบนั่นแล


     ถ้าฉลาดในการทำบุญ ย่อมได้กุศลเกื้อหนุนชีวิต ถ้าศรัทธา(เชื่อและทำ)ในสิ่งที่ผิด เหมือนดื่มยาพิษโดยคิดว่านม เพราะบุญและบาปไม่เหมือนกับสายลม ที่กระทบสัมผัส แล้วก็ดับหา่ยไป
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

หญิงเข็ญใจถวายข้าวตังได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมานรดี


คนเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมปรารถนาความสุขความเจริญด้วยกันทุกๆคน แต่ความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยบุญกุศลเป็นปัจจัย หลายๆคนคงสงสัยกันว่า เหตุใดหนอคนเราเกิดมาในโลกนี้จึงมีฐานะที่แตกต่างกันไปออกไป บางคนเกิดมาแล้วมีฐานะร่ำรวย บางคนที่เกิดมาแล้วมีฐานะยากจน ในจูฬก้มวิภังคสูตร 14/323 พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสตอบปัญหานี้แก่สุภมาณพ ที่ได้ทูลถาม พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า เหตุที่ทำให้คนที่เกิดมาแล้วมีฐานะยากจนข้นแค้น ไม่ค่อยจะมีกินมีใช้ เพราะในอดีตไม่ชอบให้ทานและเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดในนรก เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกทีก็จะมีฐานะที่ยากจน ส่วนผู้ที่เกิดมาแล้วมีฐานะร่ำรวยมีทรัพย์มาก เพราะในอดีตเป็นคนที่ชอบให้ทานอยู่เสมอ มีจิตใจที่ชอบเสียสละแบ่งบัน เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะได้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ อย่างเช่นเรื่องหญิงเข็ญใจที่ถวายข้าวตังแล้วได้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ ที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ ในครั้งนั้นมีครอบครัวหนึ่งเป็นอหิวาตกโรค คนในครอบครัวตายกันหมด เหลือเพียงผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น นางทิ้งบ้านเรือนพร้อมด้วยทรัพย์สินทั้งหมดหนีตายไปขออาศัยอยู่เรือนของผู้อื่น ผู้คนในเรือนหลังนั้นสงสารนาง ให้อยู่ แล้วแบ่งข้าวต้ม ข้าวสวย และข้าวตังให้เป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต
        สมัยนั้นพระมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัติ 7 วัน หลังออกจากนิโรธสมาบัติแล้วคิดว่า วันนี้จะไปอนุเคราะห์ใครดีหนอเพื่อเปลื้องทุกข์ ทราบด้วยญาณว่าหญิงกำพร้ากำลังจะตายเพราะกรรมในอดีตกำลังจะส่งผล และทำให้นางต้องไปตกนรก แต่ถ้านางได้มีโอกาสทำบุญก็เรา ก็จะสามารถช่วยให้นางพ้นจากอบายได้ ครั้นแล้วพระมหากัสสปะก็มุ่งหน้ามาสู่ที่อยู่ของหญิงคนนั้น ฝ่ายพระอินทร์รู้ว่าพระมหากัสสปะเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติก็ต้องการทำบุญด้วย เพราะถือว่าเป็นบุญใหญ่ จึงปลอมต้วนำอาหารทิพย์มาใส่บาตร พระมหากัสสปะรู้ จึงได้กล่าวแก่พระอินทร์ที่ปลอมตัวมาว่า ท่านทำบุญกุศลมามากแล้ว โปรดอย่าแย่งสมบัติของคนยากไร้เลย พระอินทร์ก็ยินยอมด้วยดี หญิงคนนั้นเห็นพระมหากัสสปะมายืนตรงหน้า เกิดศรัทธา แต่ไม่มีของที่จะถวาย มีเพียงวข้าวตังปนไปด้วยน้ำผึ้ง แถมยังสกปรกอีก จึงกล่าวว่า ขอท่านได้ไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด พระพระมหากัสสปะยืนนิ่ง มีผู้คนมากมากต้องการที่จะใส่บาตร แต่พระมหากัสสปะไม่ยอมเปิดบาตร หญิงเข็ญใจรู้ทันทีว่าพระมหากัสสปะมาที่นี่เพื่อต้องการที่จะโปรดนางเพียงคนเดียวเท่านั้น นางมีจิตใจที่ปิติ ค่อยๆเกลี่ยข้าวตังลงในบาตรของพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะได้นั่งฉันอาหารนั้นเสร็จแล้ว กล่าวอนุโมทนากะหญิงเข็ญใจนั้นว่า ท่านได้เป็นมารดาของอาตมาย้อนหลังไปสามชาติที่แล้ว ว่าแล้วก็เดินจากไป และในที่สุดหญิงเข็ญใจนั้นก็ทำกาละตายลงในยามต้นแห่งราตีกาล พระอินทร์สงสัยว่าหญิงเข็ญใจไปเกิดที่ไหนหนอ ได้ตรัสถามพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะทูลตอบไปว่า นางได้ไปบังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีฤทธิ์มาก อยู่บนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ถึงความสุขอันเป็นทิพย์ ร่าเริงบันเทิงใจ
          ท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์)เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวกล่าวสรรเสริญว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ทานของคนกำพร้าไร้ญาติ เป็นทานที่นำมาแต่ผู้อื่นแล้ว ได้นอบน้อมถวายแก่พระมหากัสสป สำเร็จเป็นทักษิณามากถึงเพียงนี้ นางแก้วผู้งามทั่วสรรพางค์ สามีไม่จืดจางในการมองชม ได้รับอภิเษกเป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ยังไม่เทียบเท่าเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจามทานนี้ ทองคำแท่งมีปริมาณตั้งร้อยก็ดี ม้ามีกำลังเร็วมีปริมาณตั้งร้อยก็ดี ราชรถอันเทียมด้วยม้าอัสดรตั้งร้อยก็ดี นางราชกัญญาอันประดับประดาแล้วด้วยแก้วมุกดาและแก้วมณี และต่างหูมีปริมาณตั้งแสนก็ดี ก็ยังไม่เทียบเท่าเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจามทานนี้ คชสารตัวประเสริฐเกิดแต่ป่าหิมพานต์ เป็นคชสารตระกูลมาตังคะ มีงางามงอนดุจงอนรถ มีสายรัดแล้วด้วยทองคำ มีข่ายทองคำปกเหนือกระพองศีรษะ มีประมาณตั้งร้อยเชือก ก็ยังไม่เทียบเท่าเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจามทานนี้ ถึงแม้พระเจ้าจักรพรรดิ ได้เสวยราชสมบัติ เป็นใหญ่ในมหาทวีปทั้งสี่ ก็ยังไม่เทียบเท่าเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจามทานนี้
ฉะนั้นจะเห็นกันได้ว่า บุคคลใดในกาลก่อนเคยผิดพลาด ครั้นภายหลังเขากลับตัวได้ไม่ประมาท บุคคลนั้นย่อมทำโลกให้แจ่มใส เหมือนดั่งดวงจันทร์อันพ้นจากเมฆหมอกฉันนั้น ดั่งเช่นหญิงเข็ญใจที่ถวายข้าวตังแด่พระมหากัสสปะดั่งที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

 พรดีๆนะมีอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ถ้าเราไม่ได้ทำดีแล้วไม่ต้องไปเที่ยวขอพรจากพระที่ไหนหรอก พระท่านก็ให้พรเราไม่ได้ นอกเสียจากตัวของเราเอง พระท่านยังต้องให้พรตัวเองด้วยการทำความดี ถ้าไม่ทำความดีพรก็ไม่มีราศีก็ไม่มา
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย

อานิสงส์ของการให้ชีวิตเป็นทาน(ทำให้มีอายุยืน)


  ชีวิตนี้เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย บ้างอยู่จนแก่แล้วก็ลาลับไป บ้างเกิดมาไม่ทันไรก็ต้องมาตายจากจร วงจรของชีวิตย่อมเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ ทุกๆชีวิตย่อมถูกลิขิตมาด้วยกรรมที่เราทำเอง ทุกๆคนย่อมอยากอยู่อย่างมีความสุขและมีชีวิตที่ยืนยาว บ้างก็สมความปรารถนา บ้างก็ไม่สมปรารถนา หลายๆคนเกิดความสงสัยว่าอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เราเกิดมาแล้วมีอายุยืนยาวไม่เท่ากัน
         ในจูฬกมวิภังคสูตร 14/323 พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสตอบปัญหานี้แก่สุภมาณพที่ได้ทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่าเหตุที่ทำให้คนเราเกิดมาแล้วมีอายุสั้น เพราะในอดีตชอบฆ่าคนหรือสัตว์ มีจิตใจเหี้ยมโหด ขาดความเมตตากรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ครั้นเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ต้องไปตกอยู่ในนรก เมื่อพ้นจากนรกแล้ว ถ้าได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกทีก็จะมีอายุสั้น ส่วนคนที่มีอายุยืน เพราะในอดีตไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ มีจิตเมตตา กรุณาสงสาร ชอบช่วยเหลือสัตว์ทั้งปวง เช่นการปล่อยนก ปล่อยปลาและสัตว์ทั้งหลาย อย่างบางคราวที่พบเห็นมนกำลังจะตาย ก็รีบช่วยชีวิตมันเอาไว้ ซึ่งถือว่าให้ชีวิตเป็นทาน ทำให้สัตว์ทั้งหลายมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็จะทำให้ผู้นั้นมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน เคยมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วอย่างในครั้งพุทธกาล มีสารเณรน้อยองค์หนึ่งชื่อติสสะ อายุ ๗ ปี มาบวชเพื่อศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติธรรมอยู่ในสำนักพระสารีบุตรเถระ(อัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) พระสารีบุตรนั้มีญาณหยั่งรู้ๆว่าสามเณรท่านนี้จะต้องมรณภาพลงภายในเจ็ดวัน จึงได้บอกให้สามเณรทราบ เมื่อสามเณรได้ฟังดังนั้น ก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก จึงได้นมัสการลาพระอาจารย์แล้วรีบเดินทางกลับบ้านเพื่อไปร่ำลาโยมพ่อแม่และญาติพี่น้อง ในระหว่างการเดินทางกลับบ้านก็ได้พบฝูงปลาในสระน้ำซึ่งกำลังแห้งขอด กำลังดิ้นทุรนทุรายกำลังจะตาย เพราะน้ำไม่เพียงพอ สามเณรจึงได้รำพึงว่า เรานี้จะต้องตายลงภายใน ๗ วัน ปลาฝูงนี้ก็กำลังจะตายเหมือนกับเราในไม่ช้าแล้ว อย่ากระนั้นเลย ถึงแม้ว่าเราจะต้องตายก็ควรจะช่วยชีวิตปลาเหล่านี้ให้รอดพ้นจากความตายเถิด เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็ได้นำเอาปลาทั้งหลายใส่ในบาตรของตน แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ให้พ้นจากความตาย เมื่อสามเณรน้อยติสสะเดินทางมาถึงบ้านแล้ว ก็ได้เล่าเรื่องที่ตนจะถึงแก่มรณภาพภายในอีก ๗ วันให้พ่อแม่และญาติพี่น้องฟัง เมื่อเขาเหล่านั้นได้ทราบเรื่องราวดังกล่าวแล้ว ต่างก็มีความเศร้าโศกเสียใจและสงสารสามเณรน้อยผู้นั้นเป็นอย่างมาก ทุกๆคนต่างก็รอคอยวันที่สามเณรน้อยติสสะจะมรณภาพอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นเลยกำหนดระยะเวลา ๗ วัน ตามที่พระสารีบุตรกล่าว สามเณรก็ยังไม่ตาย เลยกำหนดระยะเวลามาหลายวนแล้วก็ยังไม่ตายอีก ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า พระสารีบุตรมุสา ญาติพี่น้องจึงบอกให้สามเณรเดินกลับไปหาพระสารีบุตรเถระ เมื่อสามเณรเดินทางกลับไปถึง พระสารีบุตรเห็นสามเณรน้อย ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นยิ่งนัก สงสัยว่าทำไมสามเณรจึงยังไมมรณภาพลง สงสัยว่าสามเณรคงจะสร้างมหากุศลอย่างใดดย่างหนึ่งในระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเป็นแน่แท้ ซึ่งเป็นมหากุศลที่มีกำลังแรงมาก ที่สามารถตัดทอนผลของกรรมบาปเก่าให้อ่อนกำลังลงจนหลุดถอยออกไป ตามผลของบุญไม่ทัน พระสารีบุตรจึงเรียกสามเณรมาสอบถามต่อหน้าเหล่าบรรดาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย สามเณรจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระสารีบุตรฟัง ก็เลยทำให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายคลายความสงสัยลงในที่สุ
       และด้วยอานิสงส์ผลบุญที่ได้ปล่อยฝูงปลาให้รอดพ้นจากความตายในครังนั้น ก็ได้ช่วยส่งผลให้สามเณรน้อยมีอายุยืนยาวอยู่ต่อไปได้จนถึง 120 ปีเลยทีเดียว นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า การให้ชีวิตเป็นทานนั้นมีอานิสงส์ที่สูงมาก ฉะนั้นเราจะเห็นกันได้ว่า การให้ชีวิตเป็นทาน ผู้ให้ย่อมจะได้รับชีวิตตอบ นั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้และแน่นอนอย่างที่สุด

        ความยุติธรรมนั้นสำคัญต่อคำพิพากษา ปัญญาคือมนตราของนักปราชญ์ โอกาสเป็นสิ่งที่หลายคนแสวงหา ความสุขสมปรารถนาย่อมนำพาได้ด้วยบุญ
ปรัชญาชีวิตจาก....สุธี ศรีพระรัตนตรัย